วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเณร บุญนาค เที่ยวกัมมัฏฐาน ของ พระอาจารย์นาค โฆโส

จากใจของผู้จัดทำ



เว็บบล็อก เรื่อง  สามเณร บุญนาค เที่ยวกัมมัฏฐาน ของ พระอาจารย์นาค โฆโส   เป็นประวัติและเรื่องราวของ พระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งเขียนขึ้นโดยท่านผู้เป็นเจ้าของประวัติเอง


ท่านได้เล่าเรื่องชีวิตในเยาว์วัยและการผจญภัยในขณะที่ท่านยังเป็นสามเณรใจกล้าออกท่องเที่ยวธุดงค์ปฏิบัติกัมมัฏฐานตามลำพัง เพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริงในปรมัตถธรรม ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยท่านได้ธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรทั้งในดินแดนอีสานของไทย และดินแดนลาว สมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ซึ่งช่วงนั้นก็ตรงกับสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยไม่กี่ปี

ทั้งท่านก็ยังได้เล่าถึงการผจญภัยในเมืองเมื่อตอนประสบกับอุปสรรคต่างๆนานา อันเป็นผลมาจากช่องว่างของความไม่เข้าใจกันระหว่างพระบ้าน กับ พระป่า  ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีสาระและอรรถรสล้วนตื่นเต้นชวนให้ติดตามอ่านเป็นอย่างยิ่ง

เรื่อง สามเณร บุญนาค เที่ยวกัมมัฏฐาน ของ พระอาจารย์นาค โฆโส ที่นำมาเสนอทางเว็บบล็อกในครั้งนี้ เป็นฉบับของชมรมนักเรียนเก่า แอล เอส อี ซึ่งตีพิมพ์ช่วงเข้าพรรษา พ.ศ. ๒๕๓๕

หมายเหตุ
 
มีคนสนใจเป็นอันมากว่า สามเณรบุญนาค หรือต่อมาคือ พระอาจารย์นาค โฆโส พระสายปฏิบัติรูปนี้ ท่านไปพำนักอยู่ที่ไหนมาบ้าง ท่านมีบทบาทในการเผยแผ่และปฏิบัติธรรมอย่างไร และไปมรณภาพที่ไหนและเมื่อไร
ท่านสามารถอ่านเรื่องเหล่านี้ได้จากเว็บลิงค์นี้


สามเณรบุญนาค:เห็นบุพพนิมิต

สามเณรบุญนาค:เห็นบุพพนิมิต 


"หนังสือประวัติ สามเณรบุญนาค เที่ยวกัมมัฏฐาน" ลงวันที่ ๑๖ เดือน ๙ ขึ้น ๙ ค่ำ วันจันทร์ พ.ศ. ๒๔๘๐ เผอิญมีพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าจอมมารดาทับทิม ที่วังกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พร้อมด้วยคุณนายอั๋นและโยมเข็ม ขอประวัติการณ์ความเป็นมาแล้วของอาตมภาพ ในเวลาหนึ่งโมงเช้า (๗ นาฬิกา) ก่อนรับบิณฑบาต อยู่ ณ ที่ตำหนักในวังนั้น




ก่อนพระเดชพระคุณจะบัญชาให้เขียนประวัติความเป็นมาของอาตมภาพ ในเวลา ๙ ทุ่ม (ตี ๓) นั้น อาตมภาพกลับมาจากเดินจงกรมในลานพระเจดีย์แล้ว เข้ามาที่นั่งสมาธิในห้อง ได้รับบุพพนิมิตเห็นบุรุษแก่คนหนึ่งมาประกาศชื่อของตนว่า "โยมนี้มีชื่อว่า อะสะ กรรมบุรุษ" แล้วตระเตรียมกระแทะ (เกวียน) เทียมโค แล้วว่า "นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นนั่ง"


ครั้นเมื่ออาตมภาพนั่งเสร็จแล้ว ปรากฏว่า ณ ที่ทั้งปวงเกิด เป็นห้วงน้ำทั้งหมด บุรุษนั้นก็ขับกระแทะเทียมโคพาข้ามน้ำนั้นไป พอพ้นฝั่ง บุรุษแก่คนนั้นแสดงตนเป็นผู้มีฤทธิ์เกิดแสงสว่างรอบตัว แล้วสั่งอาตมภาพว่า "จงระวังกิจที่จะทำในวันต่อไป กลัวจะเป็นภัยแก่ท่าน"


พอรุ่งเช้ามาเป็นเวลาย่ำรุ่ง ๓๐ นาที ก็ออกบิณฑบาต ครั้นไปถึงตำหนักที่พักของพระเดชพระคุณเป็นเวลาหนึ่งโมงเช้า พอนั่งลงประมาณสัก ๕ นาที พระเดชพระคุณท่านก็บัญชาขอให้เขียนประวัติความเป็นมาของอาตมภาพตั้งแต่ยังรุ่นเยาว์ ครั้งแต่เป็นสามเณรเล็ก ๆ จนกระทั่งออกเที่ยวธุดงค์กรรมฐานมาจนบัดนี้


ประวัติความเป็นมาของอาตมภาพ มีคนขอ ๒ ครั้งมาแล้ว แต่ยังมิได้เขียนให้สักคน ครั้งที่ ๑ ขุนอาจ กำนันตำบลฟ้าหยาด ครั้งที่ ๒ ขุนประเทืองอุปราช เจ้าเมืองคำทอง แขวงดินแดนฝรั่งเศส ก็มิได้เขียนให้ บัดนี้เป็นครั้งที่ ๓ ซึ่งพระเดชพระคุณบัญชาขอประวัติ ความเป็นมาแห่งอาตมภาพ อาตมภาพจำต้องลิขิตเขียนเรียนมา เพื่อพระเดชพระคุณทราบ ตั้งแต่ต้นจนอวสานในประวัติการณ์แห่งอาตมภาพ ดังรายละเอียดเรียนมาในสมุดเล่มนี้


สามเณรบุญนาค:อยากห่มผ้าเหลือง

สามเณรบุญนาค:อยากห่มผ้าเหลือง


อาตมภาพเป็นบุตรคนสุดท้องของบิดา มารดา เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ พอดีวันนั้นเป็นเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ มารดาพาไปทำบุญวันเกิดของอาตมภาพที่วัด เผอิญหนาวจัด มองเห็นท่านพระครูปานห่มจีวรผืนใหญ่ เข้าใจว่าจะอุ่น ก็ร้องเรียกให้มารดา ขอให้มารดาบอกว่า "ยังไม่บวช เอามาห่มไม่ได้ กลัวบาป"


อาตมภาพมองขึ้นไปข้างบน เห็นพระพุทธรูปที่พิมพ์ใส่แผ่นกระดาษเรียงลำดับ ๑๒ องค์ ซึ่งพระท่านติดไว้บนหัวนอน ถามมารดาว่า "นั้นอะไร" มารดาบอกว่า "นั้นรูปพระเจ้า (พระพุทธเจ้า)" อาตมภาพก็นึกรักใคร่เลื่อมใสในพระพุทธรูปนั้น บอกมารดาขอให้ มารดาไม่ขอ ก็ร้องไห้ขึ้นในทันใดไม่หยุด ตกลงสมภารวัดได้เอามาให้แล้ว ก็นำไปไว้ที่บ้าน


วันหลังถามมารดาว่า "แม่ เวลานี้พระเจ้าอยู่ไหน" แม่บอกว่า "พระเจ้าไปนิพพานแล้ว" จึงขอให้แม่พาไปนิพพานที่พระเจ้าอยู่ แม่บอกว่า "ไปไม่ได้ นิพพานอยู่เมืองฟ้า" ต่อมาวันหลังเห็นพระเดินเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับกันมาหลายองค์ คล้ายกับรูปที่ติดอยู่บนหัวนอน นึกว่าเป็นพระเจ้าจึงร้องบอกมารดาว่า "แม่ นั่นพระเจ้ามาหน้าบ้านเรา" มารดาโผล่ออกมาดูเห็นพระไปเที่ยวบิณฑบาต มารดาจึงร้องนิมนต์พระว่า "นิมนต์ก่อนค่ะ" พระก็ยืนเป็นแถวเรียงลำดับกันอยู่ ก็นึกเลื่อมใสมาก


สามเณรบุญนาค:อยากไปอยู่วัด

สามเณรบุญนาค:อยากไปอยู่วัด


ครั้นมารดากลับมาจากใส่บาตรจึงถามว่า "แม่ พระมาจากไหน" มารดาบอกว่า "พระมาจากวัด" ถามอีกว่า "พระมาจากไหนไปอยู่วัด" มารดาบอกว่า "ไปจากบ้านไปบวชอยู่ที่วัด" เมื่อทราบว่าพระไปจากบ้านไปบวชอยู่ที่วัด อาตมภาพก็ขอให้มารดาพาไปบวช มารดาบอกว่า "ยังเล็กบวชไม่ได้" ก็อ้อนวอนขอให้มารดาพาไปฝากไว้วัด มารดาก็ห้ามเป็นครั้งที่ ๒ ว่ายัง เล็กเกินไป ก็ขอไปไม่หยุด ต่อมามารดาไม่พูดด้วยก็ร้องไห้ ว่าอยากไปอยู่วัด ทั้งบ่นทั้งร้องไห้แต่เช้าจนเที่ยง จนไม่กินข้าวสาย (กลางวัน) เพราะเสียใจกลัวมารดาจะไม่ไปฝากที่วัด


ตกลงมารดาก็พาไปวัด เผดียงต่อสมภารว่า "ไอ้หนูร้องไห้ อยากมาอยู่วัด ไม่รู้จะทำอย่างไร" สมภารก็เรียกไปถาม อาตมภาพตอบว่า "อยากบวช" ท่านจึงถามอีกว่า "อยู่กับเราไปก่อนไหม โตจึงบวช" จึงตอบท่านว่า "อยู่" มารดาก็มอบให้อยู่กับพระแต่ วันนั้นเป็นต้นมา


อยู่กับพระไป ๒ เดือน บิดากลับมาจากขายกระบือ ไม่เห็นก็ถามหา มารดาบอกว่า "แกไปอยู่วัด" บิดาก็ออกไปที่วัดถามว่า "แกอยากเข้าไปนอนบ้านไหม" จึงบอกกับพ่อว่า "ไม่อยากไป" พ่อก็มอบให้พระเป็นครั้งที่ ๒

สามเณรบุญนาค:เป็นศิษย์วัดก่อน

สามเณรบุญนาค:เป็นศิษย์วัดก่อน


ครั้นจวนเข้าพรรษา อาจารย์ก็พาไปจำพรรษาที่วัดป่า อำเภอ ยโสธร ไกลจากบ้านเดิมประมาณ ๓ พันเส้น คนเดิน ๓ คืนจึงจะถึง ขณะขี่เกวียนไปตามทาง อาจารย์บอกว่า "อีก ๓ ปีจึงจะให้บวช ไปอยู่ในเมือง เรียนหนังสือกับเขาก่อน" จากนั้นมาก็นึกดีใจมาก เพราะอาจารย์กำหนดการจะบวชให้ในระหว่าง ๓ ปี แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นปีเป็นเดือน ตื่นเช้ามาก็ถามอาจารย์ทุกวัน ว่าถึง ๓ ปีหรือยัง อาจารย์ก็หัวเราะทุกวัน นานเข้าท่านรำคาญ ท่านบอกว่า "ถ้าถึง ๓ ปี จะบอกให้ดอกนะ และจะบวชให้ด้วย ต่อไปนี้อย่าถามอีกนะ จงเรียนหนังสือให้มากๆ จึงค่อยบวช" แต่นั้นมาอาตมภาพก็ตั้งใจเรียนหนังสือในสำนักอาจารย์ต่อไป


จนอายุได้แปดขวบ พอดีตรงกับเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ กลางคืนวันนั้นฝันเห็นพระเจ้าพร้อมทั้งรัศมี สว่างไสว ตื่นนอนขึ้นมารู้สึกคิดถึงมาก จึงกราบพระสวดมนต์ แล้วก็ปรารถนาเป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง แต่นั้นไปทุก ๆ วันก็ตั้งใจเก็บดอกไม้บูชาแล้ว ปรารถนาเป็นพระเจ้า

สามเณรบุญนาค:บวชเป็นสามเณร

สามเณรบุญนาค:บวชเป็นสามเณร


จนอายุ ๙ ขวบ อาจารย์ก็บวชให้เป็นสามเณร พอบวชแล้วก็เรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์ต่อไปอีกเป็น เวลา ๖ ปี พอดีอายุครบ ๑๔ ขวบเต็ม ๑๕ ปีย่าง เผอิญพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งชักชวนไปทำปาณาติบาตฆ่าแย้ ๑ ตัว พอกลับมาถึงวัด


ค่ำลงสวดมนต์ไหว้พระ แล้วประมาณ ๔ ทุ่มก็จำวัด แล้วนิมิตฝันเห็นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๒๓ องค์ นั่งประชุมอยู่ร่มไม้หว้าชมพู และท่านแสดงธรรมว่า "คนจะเป็นสมณะเพราะศีรษะโล้นก็หามิได้ จะเป็นสมณะเพราะผ้าเหลืองก็หามิได้ จะเป็นสมณะเพราะไม่มีภรรยาก็หามิได้ จะเป็นสมณะเพราะเรียนรู้มากก็หามิได้ ผู้เที่ยวไปไม่มีอะไรในชีวิต และถึงพร้อมด้วยความเป็นอยู่ และที่อาศัยเช่นนี้จึงได้นามว่าเป็นสมณะ"


ขณะที่ฝันนั้นปรากฏว่าแดดร้อนจัด อาตมภาพก็เข้าไปอาศัยอยู่ในร่มนั้น ๆ เย็นดี แล้วท่านเอาน้ำให้ฉัน น้ำนั้นเมื่อฉันเข้าไปแสบขึ้นสมอง คล้ายกลิ่นสุราและแสบจมูกมาก เลยตื่นขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลา ๗ ทุ่ม (ตีหนึ่ง) เงียบสงัดและเดือนหงายแจ้งสว่าง มองไปเห็นเพื่อนบรรพชิตทั้งพระและสามเณรนอนเกลื่อนกรน อยู่ที่ระเบียงเล็กข้างนอกกุฏิ เพราะฤดูนั้นเป็นฤดูร้อน เป็นเดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ จากนั้นอาตมภาพจึงลงจากระเบียงกุฏิเล็ก ไปนั่งอยู่ที่ร่มมะม่วง หวนนึกถึงความฝันที่ปรากฏทั้ง ๔ ข้อ


แล้วนึกถึงมรรยาท และความเป็นอยู่ของพระสาวก และพระศาสดาว่า คงไม่ตลกคะนองคลาดเคลื่อนกันเช่นนี้ พอนึกแล้วก็ตกลงในใจว่า เราจะต้องหลีกออกไปบำเพ็ญความสงบ และมีมรรยาทอย่างที่ปรากฏเห็นในนิมิตนี้ให้จงได้ นึกแล้วนึกเล่าจนนอนไม่หลับอีกในคืนนั้น


สามเณรบุญนาค:ลาอาจารย์ออกธุดงค์

สามเณรบุญนาค:ลาอาจารย์ออกธุดงค์

พอรุ่งเช้าขึ้นมาฉันอาหารแล้ว ก็ลาพระอาจารย์ ท่านก็ไม่อนุญาต บอกพระอาจารย์ว่า "ผมตกลงใจ แล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ผมเห็นจะไม่อยู่" ว่าแล้วก็ขอขมาโทษจากอาจารย์ วางขันดอกไม้ไว้ต่อหน้าท่าน แล้วก็หลีกไป

.วันแรกเดือน ๔ แรม ๔ ค่ำ ไปพักที่ป่าช้า บ้านหนองแสง ตอนค่ำลงนึกกลัวผี ได้พิจารณาว่า อะไรเป็นผี ได้ความว่า ใจเป็นผี เพราะร่างและกระดูกเขาเผา และฝังหมดเสียแล้ว ตกลงว่าไม่จริง วัว, ควาย, หมู, ไก่ ก็มีใจทั้งนั้น ทำไมคนกินเนื้อมันได้ เช่น วัว ควาย ยิ่งตัวใหญ่ไม่กลัวผีมันหลอก หรือทำไมกินเนื้อมันได้ ขนเอาเนื้อเอากระดูก มันไปเก็บไว้ที่บ้านทั้งกินเสียด้วย จนกระทั่ง ปู, ปลา ก็มีใจทั้งนั้น หากว่าใจสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นผีอยู่กับซากศพที่ฝังไว้แล้วนั้น เป็นผีหลอกคน ถ้าเช่นนั้นคนที่ฝัง ซากวัว ซากควายลงที่ท้องของตน ก็จะไม่เป็นอันอยู่อันนอน เพราะผีมันจะหลอก เปล่าทั้งนั้น ไม่ปรากฏเลยว่า ค่ำมาคนนั้นคนนี้ถูกผีวัวควายหลอก หรือผีหมู ผีไก่หลอก ก็เปล่าทั้งนั้น


ตกลงว่า มนุษย์นี้หลอกกันทั้งนั้น สิ่งใดกินเนื้อมันเห็นว่าไม่ใช่ผี สิ่งใดไม่ได้กินเนื้อ เขาบอกว่ากลัวผีมันหลอกดังนี้ มนุษย์ที่ตายแล้วฝังอยู่ป่าช้าเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่ยังไม่อยากตาย ใจของมันไม่อยากตายอยู่แล้ว เพราะมันกลัวป่าช้า ตายแล้วที่ไหนมันจะมา ถ้าใจของคนยังมีติดอยู่ที่กาย ทำไมมันจะตาย ใจคนหนีไปแล้ว ตั้งแต่อยู่บ้านเรือน ขณะมันตายทีแรกนั้นมิใช่หรือ มันจึงตาย เมื่อพิจารณาเช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นมา ขึ้นชื่อว่าป่าช้า อยู่ได้ทุกแห่งไป ไม่ต้องกลัวผีอีก