วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเณรบุญนาค:เจ้าคณะแขวงเมืองลาวขับไล่

สามเณรบุญนาค:เจ้าคณะแขวงเมืองลาวขับไล่


อาตมภาพก็เดินไปตามเขาอีก ๒ วัน ไปถึงเมืองวัง ไปพักอยู่ ถ้ำเต่างอย ไปเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านแดง ทางประมาณ ๑๐๐ เส้น ที่นั้นมีบ่อน้ำ เป็นที่สบายแก่การบำเพ็ญสมณธรรม อาตมภาพพักทำความเพียร เพ่งกสิณอาโปธาตุ บ้าง บางทีเพ่ง อากาศธาตุ บ้าง บำเพ็ญอยู่ที่นั้น ๒ พรรษา เกิดเรื่อง อธิกรณ์ ๔ ครั้ง คือไปอยู่ทีแรก เจ้าคณะแขวงเรียกเข้าไปในเมือง ตรวจดูใบสุทธิ อาตมภาพบอกว่าไม่มี อุปัชฌายะ เจ้าคณะแขวงบอกว่า "เณรต้องเข้ามาอยู่วัดด้วยหมู่คณะ อย่าไปอยู่ถ้ำอยู่เขาคนเดียว ไม่สมควร"


อาตมภาพบอกว่า "ผมบำเพ็ญกรรมฐาน ขอใต้เท้าจงให้โอกาสแก่ผมบ้าง" ท่านตอบว่า "บำเพ็ญอะไรข้าไม่รู้ ถ้าเป็นพระเณรแล้ว ควรเข้าไปอยู่ในวัดทั้งนั้น" อาตมภาพได้ยินคำนี้นึกขึ้นได้ว่า "ที่นี้จะเป็นอุปสรรคแก่การบำเพ็ญสมณธรรม แต่ถ้าเราทนอยู่ได้ เราก็จะได้บำเพ็ญขันติบารมี" เมื่อนึกขึ้นมาเช่นนี้ อาตมาจึงกราบลาท่านเพื่อจะออกไปอยู่ถ้ำตามเดิม


ท่านบอกว่า "พรุ่งนี้จะต้องเข้าอยู่วัดนะ อย่าไปอยู่ป่าอยู่เถื่อนตามลำพังของตน เพราะเป็นเณรต้องอยู่ในบังคับของพระ" อาตมภาพก็นิ่งไม่พูดออกจากวัดของท่าน ก็กลับเข้าไปอยู่ถ้ำตามเดิม อธิษฐานไม่พูด จะบำเพ็ญแต่สมณธรรมอย่างเดียว ใครจะว่าอะไร ไม่พูดด้วย ตั้งหน้าบำเพ็ญความเพียรอย่างเดียวอีก ๑๐ กว่าวัน เจ้าคณะแขวงใช้พระให้ไปบอกเข้ามาอยู่วัด อาตมภาพก็นั่งทำสมาธิเรื่อยไป ไม่พูดด้วย พระที่ไปถ้ำมาบอกแก่เจ้าคณะแขวงว่า "เณรเอาแต่นั่งสมาธิหลับตาอยู่ ไม่พูดด้วย" วันหลังต่อมา เจ้าคณะแขวงให้นายตำบล (กำนัน) ไปไล่ "ถ้าไม่ไปต้องไปหาเจ้าคณะแขวงในวันนี้"


อาตมภาพก็เข้าไปหาเจ้าคณะแขวงในเมือง แต่ไม่พูด ท่านถามว่าจะไปไหนก็ไม่พูด จะเข้ามาอยู่ในอาวาสด้วยไหม ก็ไม่พูด ท่านถามอะไรๆ ก็ไม่พูด ท่านดุด้วยคำหยาบคายหลายอย่างหลายประการ หนักเข้านั่งสมาธิอยู่ที่นั้นตลอดวันยันรุ่ง ดักจิตอยู่ ไม่ให้จิตตามเอาอารมณ์อะไรทั้งหมด เข้ามาสิงอยู่ภายในใจ รู้สึกสบาย และทำความเข้าใจว่า


คำพูดอะไรทั้งหมดเป็นสักเพียงแต่เสียง เป็นธาตุอันหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นสักแต่ว่าเสียง เสียงอันใดเป็นที่พอใจของตน ก็ว่าเสียงนั้นดี เสียงอันใดไม่เป็นที่พอใจของตน ก็ว่าเสียงชั่ว ที่จริงเสียงนั้นจะได้เป็นรูปเป็นกาย เป็นหญิง เป็นชาย ก็หามิได้


ตกลงทั้งโลกนี้จะสงัดจากเสียงไม่มี เพราะหูเรายังมีอยู่ เข้าบ้านก็เสียงคน ออกป่าดง ก็เสียงสัตว์ เช่น อยู่ป่า สัตว์บางชนิดร้องเสียงเพราะ เป็นที่พอใจเรา ก็ว่าเสียงดี บางทีเสียงสัตว์บางตัวร้องขึ้น ไม่เป็นที่พอใจ เราก็ว่าเสียงนั้นชั่วร้าย ผลที่สุดลมพัดต้นไม้เสียงออดแอดซะนิดหน่อย เป็นที่พอใจน่าฟัง ก็ว่าเสียงนั้นดี หากพายุมันพัดมาแรง เสียงอึกทึก ครึกโครม เรากลัวก็ว่าเสียงนั้นร้ายหรือชั่ว


ที่จริงเสียง หรือหูเท่านั้นเป็นไปตามธรรมดาของโลก เช่น หูถ้าเสียงดังขึ้น ไม่ฟัง ก็ได้ยิน หรือเสียงดีหูไม่ได้ต้องการฟัง มันก็ดังขึ้นเอง เหตุนั้นมิเป็นการควรละหรือที่เรา จะทำโทษหูที่ได้ยินและเสียงที่ดังขึ้น อันเป็นไปตามธรรมดาวิสัยของโลก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น