วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเณรบุญนาค:โต้วาทะกับพระครูเขียว

สามเณรบุญนาค:โต้วาทะกับพระครูเขียว


อาตมภาพได้ตอบท่านองค์นั้นว่า "สามเณร มาจากสมณะ ตามศัพท์แปลว่าผู้สงบ ใครเป็นผู้สงบ ผู้นั้นแหละพระพุทธเจ้าเรียกว่า สามเณร หรือ สมณะ บุคคลผู้มีความปรารถนาและโลภอยู่ คนนั้นจะศีรษะโล้นก็ไม่ชื่อว่า สมณะ โดยพระพุทธภาษิตว่า อัพพะโต อะลิกัง ภะณัง อิจฉาโลภะสะมาปันโน กิง สะมะโณ ภะวิสสะติ แปลว่า บุคคลผู้มีความปรารถนาและมีความโลภอยู่ จะชื่อสมณะอย่างไรได้"


เมื่อท่านได้ยินเช่นนี้ ท่านก็โกรธ หาว่าดูหมิ่น ว่าท่านไม่รักษาธุดงค์ก็ไม่ชื่อว่าสมณะไปด้วย อาตมภาพตอบท่านว่า "(๑) เป็นผู้มีความปรารถนา (๒) โลภ (๓) ไม่รักษาธุดงค์คือความสงบ ผู้ขาดคุณสมบัติทั้ง ๓ นี้แหละครับ พระพุทธเจ้าว่าไม่ชื่อสมณะ ตามบาลีที่มีมาในธรรมบท ภาค ๗ ธัมมัฏฐวรรคว่าดังนี้ แหละครับ"


ท่านก็โกรธว่า "บ้า อะไรมาอ้างศัพท์อ้างแสง อ้างคัมภีร์ธรรมบทภาคนั้นภาคนี้ วรรคนั้น วรรคนี้ จะมาแข่งดีกับพระหนองน้ำจันทน์หรือเณร" อาตมภาพ ตอบว่า "ความแข่งดีกันเป็นอุปกิเลส ๑๖ ในข้อ ๑๒ ว่า สารัมภะ การแข่งดีเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญเลยครับ ผมพูดในที่นี้ผมพูดตามศัพท์บาลี หรือความเป็นจริงเท่านั้น คนที่มีกิเลสในสันดาน ได้ยินเข้าก็น้อมเป็นกิเลสทั้งนั้น เพราะความจริงเข้าไปถึงสันดาน ที่เป็นเจ้ากิเลส ตัวกิเลสก็ดิ้นรนออกมาเท่านั้นครับ"


ท่านพระครูเขียวยิ่งโกรธใหญ่ หาว่าอาตมภาพดูหมิ่นท่านว่าไม่ใช่สมณะ ทั้งเป็นเจ้ากิเลสด้วย ท่านจึงนำตัวของอาตมภาพเข้าไปที่วัดของท่าน แล้วขังไว้ในโบสถ์เพื่อไต่สวน อาตมภาพก็นั่งสมาธิและเดินจงกรมในโบสถ์เรื่อย ไม่พูดกับใคร

ต่อไปอีก ๒ วัน ท่านนำตัวไปไต่สวน อาตมภาพก็ไม่พูด มีแต่นั่งหลับตาทำสมาธิ ผลที่สุดท่านก็ตัดสินลงโทษ จะให้อาตมภาพขนดินขนทรายเข้าวัด แล้วถามว่า "เณรยอมทำไหม" อาตมภาพก็ไม่พูด เอาแต่นั่งหลับตาดักจิตไว้ภายในใจเรื่อยไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น