วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเณรบุญนาค:ความรักตายจากใจ

สามเณรบุญนาค:ความรักตายจากใจ


เมื่อพิจารณาเช่นนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าอดทนต่อความหิวไปอีกวันหนึ่ง พอจวนค่ำรู้สึกหายใจไม่ถึงสะดือ กระนั้นก็ตามความกระสันก็ยังปรากฏอยู่บ้าง แต่เบาบางลงไป ที่สุดตอนกลางคืนประมาณ ๕ ทุ่ม รู้สึกหายใจ ไหล่ทั้งสองหอบขึ้นมาด้วย คือ สูดเอาลมหายใจแรง ๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีลมเข้าไป ปรากฏแต่ลมออกเป็นส่วนมาก ขณะนั้นจึงรู้สึกว่าความกระสันหายไป เย็นขึ้นตามเนื้อตามตัว สวิงสวายเป็นที่วิง ๆ เวียน ๆ คล้ายกับจะอาเจียนแต่ไม่อาเจียน เป็นแต่เย็นขึ้นมา


ไม่ช้ารู้สึกหายใจสูดลมหายใจเข้าออก รู้สึกแค่หน้าอกขึ้นมาลำคอ ไม่ถึงท้องอย่างแต่ก่อน หนักเข้าหายใจเข้าออกสุดแรง ก็ปรากฏว่ามีลมเข้าออกด้วย รู้สึกปลายจมูกติ่ง แล้วก็เหงื่อไหลออกที่ริมฝีปาก และทั่วไปทั้งศีรษะ รู้สึกว่าความรักความกระสันเช่นนั้นขาดไปจากสันดาน คือความเป็นอยู่ในขณะนั้น ไม่ช้าปรากฏมีแสงคล้ายแสงหิ่งห้อยออกจากตา ลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นสิ่งอื่น เห็นแต่แสงชนิดนั้นหลั่งไหลออกจากลูกตา มีทั้งสีแสด, สีแดง, ดำ, ขาว, เขียว ครบทุกชนิด ลอยขึ้นข้างบนลูกตา ก็เหลือบขึ้นข้างบนตามแสงอันนั้น รู้สึกว่าอันนี้ไม่ใช่อื่น คือวิญญาณทางตาของเราออกไปแล้ว ต่อไปวิญญาณทางหูก็จะดับ ก็เป็นอันว่าเราตายไปเท่านั้น


ทีนี้ความกระสันยิ่งไม่ปรากฏ จึงนึกอยากทดลองน้ำใจดูว่าสึกไปแต่งงานกับนางสาวนั้นเถิด รู้สึกว่าขณะนั้นจิตใจไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่น้อย เป็นแต่สวิงสวายไปเท่านั้น จึงกำหนดได้ว่าเรายังไม่ตาย ความรักความกระสันเช่นนั้นตายไปก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรกลับไปฉันน้ำเสียในเวลานี้ พอให้ชีวิตนี้ตั้งอยู่กว่าจะถึงเวลาเช้าจึงไปบิณฑบาตมาฉัน นึกแล้วก็คว้าเอาน้ำอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาฉัน เมื่อฉันน้ำลงไปในท้องก็รู้สึกท้องลั่นดังวุบวับ ปรากฏลำไส้ข้างในขยายเป็นขด ๆ ขึ้นมาแล้วเรอออก ๒-๓ พัก รู้สึกหายใจสะดวกดีลงถึงที่สะดือ เมื่อหายใจสูดลมแรง ๆ ก็ดูเหมือนที่สะดือพุ่งออกและหยุดเข้า รู้สึกมีกำลัง พอที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้


จากนั้นก็คลานไปที่บ่อน้ำ ฉันน้ำจนอิ่ม และสรงน้ำแต่เช้าตรู่ ยิ่งรู้สึกสบายขึ้น เดินได้แข็งแรงพอสมควร ก็ไปบิณฑบาตวันนั้น ตั้งแต่นั้นมาฉันข้าววันละ ๗ คำอยู่ ๑๕ วัน รู้สึกเบากายเบาใจ หายจากความอาลัยในความกระสันรักใคร่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น