วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเณรบุญนาค:ถูกเจ้าคณะจังหวัดสอบธรรมวินัย

 สามเณรบุญนาค:
ถูกเจ้าคณะจังหวัดสอบธรรมวินัย


เมื่อท่านได้ทราบ ท่านก็โกรธใหญ่ ให้พระสมุห์ภัยไปไล่ บอกว่า "สามเณรจะมาแข่งกับพระจังหวัดกาฬสินธุ์หรือ เณรอย่ามาทำอย่างนี้เลย เณรจงหนีไปเถิด เดี๋ยวจะถูกจับสึก" อาตมาตอบว่า "ผมหนีมาแล้วจากจังหวัดอุบลฯ จนถึงนี้ จะให้ผมหนีอย่างไรอีก ท่านสมุห์เล่า หนีแล้วหรือยัง ผมเห็นว่า สมุห์ก็ควรหนีไปเที่ยวธุดงค์บ้างตามอริยประเพณี"


ท่านถามว่า "เณรเดินตามอริยประเพณีแล้ว หรือยัง" อาตมภาพตอบว่า "ผมเข้าใจว่าอริยประเพณี เป็นมาดังนี้"

ท่านถามอีกว่า "อริยประเพณีมีกี่อย่าง" อาตมภาพได้ตอบว่า "มี ๕ อย่าง คือ (๑) ไม่ฆ่าสัตว์อื่น (๒) ไม่เข้าไปว่าร้ายและล้างผลาญคนอื่น (๓) สำรวมในพระปาฏิโมกข์ (๔) นั่งนอนเสนาสนะอันสงัด (๕) เป็นใหญ่ในจิตของตน ๕ อย่างนี้แหละเรียกว่า อริยประเพณี"


ท่านจึงถามว่า "ถ้าเณรคิดเดินตามอริยประเพณี แล้ว ทำไมไปว่าเขาเป็นเดียรถีย์ เป็นพระอลัชชี ไม่ชื่อ ว่าเบียดเบียนเขาหรือ" อาตมภาพตอบว่า "เปล่าผม ไม่ได้เบียดเบียน หากจะมีคนเดียรถีย์และพระอลัชชีแล้ว ผมสงสารว่าเขาจะไปตกนรก ผมกล่าวเพื่อให้บุคคลเช่นนั้นรู้สึกตัว เพื่อจะให้เขากลับมาสำรวมใน พระธรรมวินัยในพระศาสนานี้"


ท่านถามว่า "เณรเข้าใจว่าใครเป็นเดียรถีย์ ท่านองค์ไหนเป็นอลัชชี" อาตมภาพตอบว่า "บุคคลไม่ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง บุคคลนั้นเป็นเดียรถีย์ ท่านองค์ไหนแกล้งประพฤติล่วงเกินพระธรรมวินัย ท่านองค์นั้นชื่อว่า อลัชชี"


ท่านถามว่า "เช่นฉัน เณรเห็นว่าเป็นอลัชชีหรือลัชชีบุตร" อาตมภาพตอบว่า "ถ้าท่านสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ท่านก็เป็นลัชชีบุตร หากท่านไม่สำรวมในพระปาฏิโมกข์ละเมิดล่วงเกินพระวินัย ท่านก็เป็นอลัชชี"


ท่านจึงถามต่อไปว่า "เณรเป็นอรหันต์แล้วหรือ" อาตมภาพตอบว่า "ถ้าผมสำเร็จอรหันต์ ผมก็เป็นอรหันต์เท่านั้น ถ้าผมยังไม่สำเร็จอรหันต์ ผมก็ยังเป็นปุถุชนอยู่"


ท่านจึงถามอีกว่า "ธรรมอะไรทำบุคคลให้เป็นอรหันต์" อาตมภาพตอบว่า "ผู้เห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ ชื่อว่า พระอรหันต์"


ท่านจึงถามต่อไปว่า "เณรเห็นอริยสัจทั้ง ๔ แจ้งแล้วหรือยัง" อาตมภาพตอบว่า "ความรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ เป็นความรู้ความเห็นของพระอริยเจ้า หากผมเป็นพระอริยเจ้า ผมก็รู้แจ้งเห็นจริง ในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ หากผมเป็นปุถุชนอยู่ตราบใด ผมก็ไม่รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ อยู่ตราบนั้น"


ท่านจึงพูดขึ้นว่า "ถ้าเช่นนั้น เณรก็เป็นทั้งปุถุชนทั้งอริยะใช่ไหม?" อาตมภาพตอบว่า "ธรรมดาผู้บำเพ็ญพรตในศาสนาพระพุทธเจ้า แรกก็เป็นปุถุชน ปฏิบัติเพื่ออริยมรรคนั้นเอง"


ท่านสมุห์ภัยถามต่อไปว่า "เณรได้อริยมรรคแล้วหรือยัง" อาตมภาพตอบว่า "ผมจำได้ซึ่งอริยมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นที่สุด"


ท่านจึงบ่นต่อไปว่า "แค่จำองค์อริยมรรค ๘ ได้เท่านั้น ก็สำคัญตนเป็นผู้วิเศษไปแล้ว อ้ายพรรค์นี้มันบ้าจริงๆ ตัวของเณรนี้แหละเป็นตัวอลัชชีใหญ่ แกบวชเข้ามาเบียดเบียนหมู่พวกภิกษุสามเณร ไปดูหมิ่นดูถูกเพื่อนบรรพชิตด้วยกันทั้งหมดว่าพวกนั้นเป็นอลัชชี พวกนี้เป็นลัชชีบุตร เดี๋ยวแกจะยุสงฆ์ให้แตกร้าวกัน เป็นอนันตริยกรรม (กรรมหนัก) ตัวของเณรเองจะมีโทษถึงอนันตริยกรรม ตายแล้วแกก็ไปตกอเวจีมหานรกเท่านั้น เดี๋ยวนี้แกไม่ควรเป็นเณรแล้ว การติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นนาสนังคะ ขาดคลอง เณรมิใช่หรือ


ตกลง เณรนี้แกไม่ใช่เป็นเณรแล้ว แกติเตียนพระสงฆ์ นี้ท่านอุบาสกอุบาสิกา เธอคนนี้ไม่ใช่เณรแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายอย่าเชื่อถือมาก พวกเจ้าจะเป็นบ้าไปตามเธอคนนี้ทั้งหมด ใช้ไม่ได้ หากพวกเจ้าติเตียนพระสงฆ์เสียแล้ว พวกเจ้าจะไปทำบุญที่ไหน เพราะพระสงฆ์เท่านั้นเป็นบุญเขตของโลก"


จากนั้นท่านจึงหันหน้ามาถามอาตมภาพว่า "ใช่ไหมเธอ หรือเธอเห็นเป็นอย่างไรอีก" อาตมภาพตอบว่า "ท่านจะถามถึงความเห็นของผม ผมก็มีความเห็นอยู่หลายอย่างหลายประการ มีนัยจะพูดอยู่มากมายมิใช่น้อย" ท่านสมุห์ภัยจึงบอกว่า "แกมีความเห็นมากมายนั้น เห็นอย่างไร จะพูดได้มากมายนั้น แกจะพูดได้อย่างไร ลองพูดขึ้นมาดู"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น